ท่ามกลางวิกฤติโควิด -19 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ต่างพากันปรับแผนการใช้งบประมาณเพื่อบริหารสภาพคล่อง ในส่วนหน่วยงานภาครัฐการทำแผนการใช้เงินต้องคำนึงถึงผลในระยะยาวและประโยชน์โดยส่วนร่วม

ท่ามกลางวิกฤติโควิด -19 หน่วยงานภาครัฐและเอกชน ต่างพากันปรับแผนการใช้งบประมาณเพื่อบริหารสภาพคล่อง ในส่วนหน่วยงานภาครัฐการทำแผนการใช้เงินต้องคำนึงถึงผลในระยะยาวและประโยชน์โดยส่วนร่วม ซึ่งปัจจัยสำคัญของการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลงทุนของภาครัฐ เป็นงบประมาณก้อนใหญ่ที่จะช่วยให้เงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 

บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. และกรมท่าอากาศยาน (ทย.) ในฐานะหน่วยงานกำกับดูแลท่าอากาศยานหลักของประเทศ ยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนขยายขีดความสามารถของสนามบิน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการหมุนเวียนของเม็ดเงินการลงทุน อีกทั้งยังเดินหน้าตามเป้าหมายเพิ่มการรองรับเที่ยวบินและผู้โดยสาร ที่ยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลังวิกฤติโควิด -19 สิ้นสุดลง ภาคธุรกิจท่องเที่ยว เป็นหัวหอกสำคัญที่จะช่วยฟื้นเศรษฐกิจ

โดย ทอท.ยังยืนยันเดินหน้าแผนลงทุนขยายท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และดอนเมือง ด้วยเม็ดเงินรวมกว่า 7.6 หมื่นล้าน แบ่งเป็น การลงทุนโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) วงเงินลงทุนราว 4.2 หมื่นล้านบาท ยืนยันว่าเป็นโครงการที่จะเดินหน้าลงทุน แต่ปัจจุบันยังอยู่ในขั้นตอน สำนักงานคณะกรรมการสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณา รวมไปถึง โครงการพัฒนาท่าอากาศยานดอนเมือง ระยะที่ 3 วงเงินลงทุนกว่า 3.43 หมื่นล้านบาท เพื่อปรับปรุงอาคารผู้โดยสารภายในประเทศ ก่อสร้างเป็นอาคารผู้โดยสารหลังที่ 3 (เทอร์มินัล 3) รองรับผู้โดยสารระหว่างประเทศ 18 ล้านคนต่อปี เชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีแดง พร้อมทั้งปรับปรุงอาคารผู้โดยสารอาคาร 1 ปรับปรุงคลังสินค้าหมาย เลข 1 และ2 ขยายระบบจราจรเพื่อรองรับปริมาณรถที่เพิ่มขึ้นขยายลานจอดอากาศยาน รวมทั้งปรับปรุงระบบสาธารณูปโภค เป็นต้น

เอนก ธีระวิวัฒน์ชัย รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ ทอท.เปิดเผยถึงความคืบหน้าของการแผนลงทุนพัฒนาท่าอากาศยานที่อยู่ภายยใต้การดูแลของ ทอท. โดยระบุว่า แม้ปัจจุบันอุตสาหกรรมการบินจะได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด -19 แต่แผนลงทุนขยายขีดความสามารถรองรับผู้โดยสารและเที่ยวบินยังคงต้องเดินหน้าตามกำหนด เนื่องจากแผนลงทุนถือเป็นแผนระยะยาว ที่ต้องดำเนินการต่อเนื่อง และใช้เวลากว่า 2 ปีจึงจะแล้วเสร็จ

 “การลงทุนต้องใช้เวลา ไม่ใช่ว่าจะเกิดขึ้นวันนี้หรือในช่วงนี้ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการลงทุนไม่ดีเลย์ คงต้องมาปรับรูปแบบกันใหม่ เพราะหากภายใต้สถานการณ์โควิดเป็นเช่นนี้ หลักเกณฑ์การเว้นระยะห่างต้องมีมากขึ้น อาคารหรือพื้นที่ที่จะพัฒนาต้องทำให้สอดคล้อง”

ขณะที่ ทย.ยังเร่งเปิดประมูลโครงการพัฒนาสนามบิน ภายใต้ปีงบประมาณ 2563 ซึ่งมี 4 โครงการ วงเงินรวมกว่า 3.6 พันล้านบาท ประกอบไปด้วย 

1.ท่าอากาศยานกระบี่ โครงการก่อสร้างทางขับขนาน (แท็กซี่เวย์) ระยะทาง 3 กิโลเมตร (กม.) วงเงิน 1,350 ล้านบาท 

2.ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ โครงการก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร (เทอร์มินอล) แห่งที่ 2 วงเงินประมาณ 775 ล้านบาท เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการ รองรับผู้โดยสาร จาก 800,000 คนต่อปี เป็น 1.7 ล้านคนต่อปี คาดว่าจะเปิดให้บริการประมาณปี 2565

3.ท่าอากาศยานนราธิวาสโครงการก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสาร (เทอร์มินอล) หลังใหม่ วงเงินประมาณ 800 ล้านบาท และ4.ท่าอากาศยานสุราษฎร์ธานี วงเงิน 700 ล้านบาท แบ่งเป็น โครงการก่อสร้างขยายลานจอดเครื่องบิน พร้อมระบบไฟฟ้าสนามบินและติดตั้งสะพานเทียบเครื่องบินพร้อมระบบนำจอด วงเงิน 500 ล้านบาท และโครงการปรับปรุงห้องผู้โดยสารขาออก วงเงิน 200 ล้านบาท

ทวี เกศิสำอาง อธิบดีกรมท่าอากาศยาน (ทย.) กล่าวว่า โครงการลงทุนในปีงบประมาณปี 2563 มีจำนวน 4 แห่ง ปัจจุบัน ทย.ได้ทยอยเปิดประมูลอย่างต่อเนื่อง และใกล้จะแล้วเสร็จ โครงการสุดท้ายที่อยู่ระหว่างขั้นตอนประมูล คือ งานก่อสร้างอาคารผู้โดยสาร (เทอร์มินัล) แห่งที่ 2 ท่าอากาศยานบุรีรัมย์ ปัจจุบันได้ออกประกาศร่างขอบเขตงาน (ทีโออาร์) คาดว่าจะประมูลภายในเดือน พ.ค.นี้

สำหรับความคืบหน้าของการประกวดราคาในส่วนของสนามบินกระบี่ ทย.ได้ประกาศประกวดราคาจ้างก่อสร้างทางขับขนาน (แท็กซี่เวย์) พร้อมระบบไฟฟ้าสนามบิน โดยมีกำหนดให้เอกสารยื่นข้อเสนอและเสนอราคาทางระบบจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ในวันนี้ (13 พ.ค.) ระหว่างเวลา 8.30 – 16.30 น.

ขณะที่สนามบินบุรีรัมย์ ทย.ได้ออกประกาศทีโออาร์ งานก่อสร้างอาคารที่พักผู้โดยสารหลังใหม่ และสิ่งก่อสร้างประกอบอื่นๆ พร้อมครุภัณฑ์อำนวยความสะดวกท่าอากาศยาน ระหว่างวันที่ 7 – 13 พ.ค.นี้ โดยจะทำการเปิดประกวดราคาด้วยวิธีประกวดราคาอิเล็กทรอนิกส์

ที่มา : กรุงเทพธุรกิจ