สมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
ที่อยู่ 110 อาคารโอเรียนเต็ล เรสซิเดนซ์ ชั้น 3 ถนนวิทยุ แขวงลุมพินี เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ 10330
นับเป็นรถไฟฟ้าอีก 1 สายทางที่มีประเด็นร้อนกลายเป็น “ทอล์กออฟเดอะทาวน์” ต่อเนื่อง โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-ศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี (สุวินทวงศ์ ) วงเงินรวม 235,320 ล้านบาท เค้กประมูลส่งท้ายปี 2563 มี “รฟม.-การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย” เป็นเจ้าของโครงการ
สีส้มตะวันออกสร้างคืบ 70%
ปัจจุบันรถไฟฟ้าสายสีส้มเดินหน้าก่อสร้างช่วงตะวันออก “ศูนย์วัฒนธรรมฯ – มีนบุรี” ระยะทาง 22.57 กม. ไปแล้ว ล่าสุดมีความคืบหน้า 69.82% สร้างเร็วกว่าแผน 2.77% ตามสัญญางานก่อสร้างจะเสร็จปลายปี 2565 และจะเปิดให้บริการในปี 2567 หรือในอีก 4 ปีข้างหน้า
แต่การเปิดให้บริการในปี 2567 จะเป็นไปได้หรือไม่ ปัจจัยสำคัญอยู่ที่ฝั่งตะวันตกของโครงการ “ช่วงบางขุนนนท์ – ศูนย์วัฒนธรรมฯ” ที่ รฟม.ประมูล PPP net cost เป็นแพ็กเก็จให้เอกชนลงทุน 1.28 แสนล้านบาท ก่อสร้างงานโยธาช่วงตะวันตกและเหมาเดินรถตลอดสาย เป็นระยะเวลา 30 ปี จากบางขุนนนท์-มีนบุรี ระยะทางรวม 35.9 กม. รัฐจ่ายค่าเวนคืนให้ 1.4 หมื่นล้านบาท
ปัจจุบัน “รฟม.” อยู่ระหว่างเปิดประมูล มีเอกชนสนใจซื้อเอกสารประมูล 10 บริษัท ได้แก่
ดูเหมือนกระบวนประมูลจะเดินหน้าฉลุย แต่แล้วกลับปรากฎความเคลื่อนไหวสำคัญขึ้น ที่ว่ากันว่าทำให้กลายเป็น “จุดเปลี่ยน” ของสนามแข่งขันของรถไฟฟ้าสายสีส้ม
ITD – BTS สู้เกมหลักเกณฑ์ใหม่
หลังเปลี่ยนประธานคณะกรรมการมาตรา 36 และ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ พี่ใหญ่วงการรับเหมา สวมบทหัวใจสิงห์ ร่อนหนังสือถึงสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) และ รฟม. ให้พิจารณาปรับปรุงการประเมินข้อเสนอใหม่ ให้นำข้อเสนอ “ด้านเทคนิค” เข้ามาเป็นอีกหนึ่งเกณฑ์หลัก นอกเหนือจากการตัดเชือกที่ “ราคาต่ำสุด” เพียงอย่างเดียว
ขณะที่ “รฟม.” และคณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 แห่ง พ.ร.บ.ร่วมทุน 2562 เห็นพ้องและปรับหลักเกณฑ์คัดเลือกใหม่ เปิดซอง “เทคนิค-ราคา” พร้อมกัน โดยนำคะแนนเทคนิค 30% มาพิจารณาร่วมกับราคา 70%
พร้อมกับขยับวันยื่นซองออกไปอีก 45 วัน จากเดิมจะต้องยื่นซองในวันที่ 23 ก.ย. 2563 เป็นวันที่ 9 พ.ย. 2563 แทน เพื่อให้ผู้ซื้อซองสามารถเตรียมตัวเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการปรับเกณฑ์ใหม่ดังกล่าว
พลันที่ “รฟม.” ประกาศเกณฑ์ใหม่ ทาง “บีทีเอสซี-บมจ.ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ” เดินสายยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการ รฟม. และยื่นหนังสือองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) ให้จับตาการประมูลโครงการดังกล่าว
และยื่นต่อศาลปกครองกลางให้มีคำสั่งเพิกถอนมติคณะกรรมการมาตรา 36 และเอกสารตาม RFP ที่เกี่ยวกับการปรับปรุงเกณฑ์การประเมินข้อเสนอโครงการ และยื่นคำร้องขอให้ศาลมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวเพื่อให้ระงับการดำนินการใด ๆ เกี่ยวกับการคัดเลือกเอกชนลงทุนโครงการไว้ก่อน ซึ่งศาลฯนัดทั้งสองฝ่ายมาไต่สวนนัดแรกวันที่ 14 ต.ค. 2563
บีทีเอสกังขา 3 ประเด็น
“สุรพงษ์ เลาหะอัญญา” กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บมจ.บีทีเอสซี ได้ตั้งคำถามถึงการเปลี่ยนหลักเกณฑ์ดังกล่าว ซึ่งในประเทศไทยไม่เคยมีการใช้เกณฑ์ดังกล่าวประมูลมาก่อน โดยมีข้อกังขา 3 ข้อ ประกอบด้วย
ทำให้เหลือเพียง 2 บริษัทเท่านั้น ที่เคยมีประสบการณ์ทางอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา ทำให้การหาพันธมิตรที่มีประสบการณ์เป็นไปได้ยาก เพราะตามทีโออาร์ให้หาพันธมิตรเฉพาะผู้ที่ยื่นซองทีโออาร์เท่านั้น
“ได้เตรียมข้อมูลเพื่อชี้แจงในนัดไต่สวนนัดแรกวันที่ 14 ต.ค.แล้ว ยืนยันว่ากระบวนการเปลี่ยนรูปแบบการคัดเลือกโดยใช้คะแนนด้านเทคนิคพ่วงเข้ามาด้วย เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน แถมใน RFP มีการระบุว่า หากเป็นผู้ประกอบการชาวไทยที่มีประสบการณ์ด้านการก่อสร้างอุโมงค์จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ จึงเห็นว่าการระบุเงื่อนไขและการเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์การประมูลเป็นเรื่องไม่ชอบธรรม” นายสุรพงษ์กล่าวและย้ำว่า
ทั้งนี้ หากศาลไม่คุ้มครองและให้การดำเนินโครงการเป็นไปตามเดิม กลุ่มบีทีเอสก็พร้อมที่จะเข้าร่วมประมูลโครงการตามเดิม เพื่อไม่ให้เสียสิทธิ์ของบริษัท โดยจะร่วมกับพันธมิตรเดิม คือ ซิโนไทยฯ และราชกรุ๊ป
รฟม.เปิดโต๊ะแถลง 2 ครั้ง
ด้าน “ภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ” ผู้ว่าการ รฟม. ออกมาตอบโต้ถึง 2 ครั้ง 2 ครา โดยยืนยันการเปลี่ยนหลักเกณฑ์ดังกล่าวว่า สามารถทำได้ตามพ.ร.บ.ร่วมทุน 2562 มาตรา 35 และมาตรา 38 และเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน (RFP) เล่มที่ 1 ข้อแนะนำผู้ยื่นข้อเสนอ ข้อ 17.1 สอดคล้องตามประกาศคณะกรรมการนโยบายการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน เรื่อง รายละเอียดของร่างประกาศเชิญชวน ร่างเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชน และสาระสำคัญของร่างสัญญาร่วมลงทุน 2563 ข้อ 4 (8) และ 4 (9) และเป็นการดำเนินการตามที่คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 2563 อีกด้วย
เปิดทางพ่วงประสบการณ์ผู้รับจ้าง
สำหรับข้อกังวลว่าจะมีข้อได้เปรียบเสียเปรียบ นั้น คณะกรรมการคัดเลือกตามมาตรา 36 มีข้อสรุปร่วมกันให้จัดทำเอกสารสำหรับการคัดเลือกเอกชนเพิ่มเติม (RFP Addendum) และขยายเวลายื่นซองประมูลออกไปอีก 45 วันให้แล้ว รวมถึงในทีโออาร์เปิดช่องให้ใช้ประสบการณ์ของผู้รับจ้างมาเพิ่มเติมลงไปในการยื่นซองประมูลได้ ไม่ได้บังคับเฉพาะผู้ซื้อซอง และมีเกณฑ์การตัดสินเท่าเทียมกัน
ไม่ระบุสเปกอุโมงค์ลอดเจ้าพระยา
ส่วนที่ระบุว่า ต้องเคยทำอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยาก็ไม่เป็นความจริง ในทีโออาร์กำหนดเพียงว่า จะต้องเป็นผู้มีประสบการณ์ก่อสร้างอุโมงค์ใต้ดินแบบหัวเจาะ (Underground Tunnel by Tunnel Boring Machine) ที่มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางภายในไม่น้อยกว่า 5 เมตร ซึ่ในไทยมีบริษัทที่เคยทำประมาณ 4-5 ราย และยังไม่รับเหมาต่างชาติที่มีประสบการณ์อีกหลายบริษัทด้วย
“ยืนยันว่าทุกอย่างทำตามกฎหมายหลักและกฎหมายลูกอย่างถูกต้อง ทั้ง พ.ร.บ.ร่วมทุน 2562, ประกาศทีโออาร์ และกฎหมายประกาศคณะกรรมการ PPP ส่วนประสบการณ์การก่อสร้างก็ไม่ได้เขียนเน้นว่าต้องเคยก่อสร้างอุโมงค์ลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา และกำหนดให้คะแนนผู้ประกอบการไทยมากกว่าผู้ประกอบการรายอื่นแต่อย่างใด” นายภคพงศ์กล่าว
“ประยุทธ์” ห่วงสร้างเสร็จช้า
พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ขอให้เป็นเรื่องของนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกระทรวงคมนาคม และคณะกรรมการที่เกี่ยวข้องไปชี้แจง ถ้ามีปัญหาก็เอาหลักฐานและข้อมูลที่มีไปชี้แจงแล้วกัน เพราะสั่งอะไรไม่ได้
“ผมห่วงเรื่องก่อสร้างล่าช้า แต่ต้องทำให้ถูกต้อง ส่วนจะกระทบความเชื่อมั่นในการลงทุนโครงการใหญ่หรือไม่ ก็อยู่ที่คำชี้แจง ถ้าชี้แจงได้ก็จบ ก็ช่วยกัน ถ้ามีการรับผลประโยชน์ก็แจ้งมา และต้องดูผลประโยชน์ประชาชนด้วย”
“ศักดิ์สยาม” ย้ำความโปร่งใส
นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ออกมาระบุว่า จากการรายงานของ รฟม.ก็ยืนยันดำเนินการอย่างโปร่งใสและถูกต้องตามกฎหมายให้สามารถดำเนินการได้ โดยมีเอกสารยืนยันจาก สคร.ว่าปรับรายละเอียดได้และที่ผ่านมา รฟม.ประมูลรถไฟฟ้ามาหลายสายทั้งสีชมพู สีเหลือง สีม่วง สีน้ำเงิน ไม่ใช่โครงการสายสีส้มตะวันตกเป็นโครงการแรก แต่ก็อย่างไปปิดกั้นสิทธิในการตั้งข้อสังเกตต่างๆ รฟม.ต้องแสดงข้อกฎหมายและข้อเท็จจริงทั้งหมด
“รฟม.ยืนยันพร้อมจะรายงานข้อมูลทั้งหมดต่อศาลปกครองว่าได้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ใช่โครงการแรกที่มีการร้องเรียน ขอยืนยันว่าทุกโครงการที่กระทรวงคมนาคมดำเนินการนั้นโปร่งใสตรวจสอบได้”
รับเหมาแบ่งเค้กสร้าง
ด้านแหล่งข่าวจากรับเหมาก่อสร้างกล่าวว่า การแข่งขันครั้งนี้เป็นการช่วงชิงสัมปทานเดินรถ 30 ปี มากกว่างานก่อสร้าง เพราะงานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่และรถไฟฟ้าในเมืองไทย มีรับเหมา 4-5 ราย ที่เป็นผู้ก่อสร้าง และไม่ว่าใคระจะชนะ ก็หนีไม่พ้นจะเป็นรับเหมาขาใหญ่ในวงการที่ได้สร้าง
“การทำธุรกิจไม่มีมิตรแท้และศักตรูที่ถาวร ดูได้จากสายสีส้มตะวันออกช่วงศูนย์วัฒนธรรม งานก่อสร้างอุโมงค์จาก ศูนย์วัฒนธรรม-หัวหมาก ที่มี 2 บิ๊กรับเหมาจับมือกันก่อสร้างมาแล้ว”
ดูท่าจะไม่จบง่ายๆ เพราะงานนี้คงจะมีข้อโต้เถียงกันอีกยาว ถึงเกณฑ์การพิจารณาที่ใช้ “ดุลพินิจ” มากกว่าตัดเชือกกันที่ “ราคา” และอาจจะกระทบต่อไทม์ไลน์การก่อสร้างและการเปิดบริการ ล่าช้าออกไปได้ไม่มากก็น้อย
ที่มา :: ประชาชาติธุรกิจ